รู้หน้าแล้วรู้ใจ AI ที่แม่นกว่าหมอดู

วันนี้เป็นวันครบรอบ 16 ปี ของเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน ที่เป็นปฏิบัติการก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก

สิ่งที่ตามมาไม่นานหลังจากนั้น คือความพยายามของรัฐบาลของชาติต่างๆ ที่นำโดยรัฐบาลสหรัฐ ที่จะเฟ้นหามาตรการเพื่อป้องกันมิให้ประวัติศาสตร์ต้องมาซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่ง

การตรวจจับใบหน้าด้วยสมองกล หรือ Face Recognition ด้วย Artificial Intelligence เป็นหนึ่งในมาตรการทางเทคโนโลยี ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในยุคนั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กล้องวงจรปิดในสถานที่สำคัญ สามารถตรวจจับใบหน้าของคนร้ายที่เคยมีประวัติ และสามารถแจ้งเตือนได้อย่างอัตโนมัติ ทันทีที่คนร้ายเหล่านั้น ได้ย่างกรายเข้ามาในสถานที่ที่มีความสำคัญ

เทคโนโลยีใดที่เป็นที่ต้องการของตลาด เทคโนโลยีนั้นย่อมมีทุนวิจัย และมีการพัฒนา การตรวจจับใบหน้า จึงเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสมองกล ที่มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

สำหรับผู้บริโภคโดยทั่วไป อาจสังเกตุได้จาก การแท็กภาพของบุคคลที่รู้จักในเฟสบุ๊ค ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้มาระยะหนึ่งแล้ว หรือกระทั่งกล้องถ่ายรูปในยุคปัจจุบัน ที่ไม่เพียงแต่จะตรวจจับใบหน้าของบุคคลทั่วไป หรือบุคคลที่รู้จักได้ แต่ยังคงสามารถตรวจจับรอยยิ้มได้อีก

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าด้วยสมองกล มาพร้อมกับความน่าเป็นห่วง ในด้านการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เพราะไม่เพียงแต่กล้องวงจรปิดที่่ใช้เทคโนโลยีนี้่ จะสามารถตรวจจับใบหน้าของคนร้ายที่เคยมีประวัติ แต่ยังคงสามารถนำมาใช้เพื่อตรวจจับและบันทึกในหน้าของบุคคลทั่วไป และสามารถสร้างทะเบียนประวัติของพฤติกรรมของบุคคลต่างๆ อย่างเป็นอัตโนมัติ และเมื่อกล้องวงจรปิดที่ใช้เทคโนโลยีนี้ มีการใช้งานอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้นไปอีก พฤติกรรมของบุคคลต่างๆ จะสามารถฤูกประมวลได้อย่างแม่นยำและครบถ้วน จนเกือบจะไม่หลงเหลือความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป

แต่ถึงกระนั้น ที่กล่าวมาเป็นความน่าเป็นห่วงจากระยะแรกของเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตรวจจับใบหน้าด้วยสมองกล ได้มีพัฒนาการอย่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้่นไปอีก เพราะไม่เพียงแต่จะสามารถบ่งชี้ตัวตนของเจ้าของใบหน้าได้ แต่ยังสามารถบ่งชี้ลักษณะอื่นๆ จากใบหน้าได้อีก

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักวิจัยจาก Shanghai Jiao Tong University ประเทศจีน ได้พิสูจน์ว่า ระบบสมองกล สามารถคาดคะเนด้วยความแม่นยำ ถึง 89.5 เปอร์เซ็นต์ โดยอาศัยเพียงภาพถ่าย ของใบหน้าที่ไม่เคยมีประวัติมาก่อน ว่าเจ้าของใบหน้า เป็นอาชญากรหรือไม่ นั่นหมายความว่า เทคโนโลยีสมองกล สามารถไปค้นพบความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง จากลักษณะของอวัยวะบนใบหน้าของมนุษย์ ที่สามารถชี้ชัดได้ว่า ผู้ที่มีลักษณะเหล่านี้ มีโอกาสที่จะเป็นอาชญากร โดยสามารถประเมินได้อย่างแม่นยำถึง 89.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนธรรมดาทั่วไป หรือกระทั่งหมอดูโหงวเฮ้ง ย่อมที่จะไม่สามารถประเมินได้อย่างแม่นยำเพียงนี้ โดยอาศัยเพียงภาพถ่ายของใบหน้า

ล่าสุด นักวิจัยจาก Stanford University สหรัฐอเมริกา ได้พิสูจน์ว่า ระบบสมองกล สามารถคาดคะเนด้วยความแม่นยำถึง 91 เปอร์เซ็นต์ โดยอาศัยเพียงภาพถ่าย ของใบหน้าที่ไม่เคยมีประวัติมาก่อนอีกเช่นกัน ว่าเจ้าของใบหน้า เป็นชายรักชายหรือไม่ ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปมีความแม่นยำเพียง 61 เปอร์เซ็นต์ เมื่อประเมินความเป็น ชายรักชาย จากเพียงภาพถ่่าย นอกจากนี้ ระบบสมองกล สามารถคาดคะเนด้วยความแม่นยำถึง 83 เปอร์เซ็นต์ ว่าเจ้าของใบหน้า เป็นหญิงรักหญิงหรือไม่ ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปมีความแม่นยำเพียง 54 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ แอปเปิล บริษัทชั้นนำของโลกทางด้านเทคโนโลยี ผู้ซึ่งผลิต ไอโฟน ยังได้ซื้อบริษัทขนาดเล็ก ที่มีเทคโนโลยีในการอ่านใจด้วยระบบสมองกล โดยอาศัยเพียงภาพถ่าย ซึ่งในปีเดียวกัน เฟสบุค ก็ได้ซื้อบริษัทขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง ที่มีเทคโนโลยีที่คล้ายกัน

การตรวจจับใบหน้า เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์อย่างแน่นอน นอกเหนือจากประโยชน์ที่ได้กล่าวมาแล้ว แม้กระทั่ง ไอโฟน 8 ยังมีข่าวลือว่าจะใช้การตรวจจับใบหน้าแทนระบบสัมผัสเพื่ออ่านลายนิ้วมือ ในการปลอดล็อกเครื่อง หรืออนุญาตการจ่ายเงินด้วย แอปเปิล เพย์

แต่ความเป็นห่วงในเทคโนโลยีนี้ ปัจจุบันได้ขยายผลไปสู่สิ่งที่ระบบสมองกล สามารถเรียนรู้ได้จากใบหน้า ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่การบ่งชี้ตัวตนของเจ้าของใบหน้า แต่รวมไปถึงสิ่งอื่นๆ ที่เทคโนโลยีสามารถคาดคะเนได้อย่างแม่นยำ เช่น การเป็นอาชญากร การเป็นชายรักชาย การมีอารมณ์ต่างๆ ดังที่ได้กล่าวถึงแล้วในบทความนี้ และอาจไม่ใช่เรื่องแปลก หากในอนาคต สมองกลจะสามารถคาดคะเนสิ่งอื่นๆ ได้อีก เช่น ความมั่งคั่ง ความฉลาด ความแข็งแรง ความมีอายุยืน ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่เจ้าของใบหน้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นต้องมารับรู้ เพราะอาจก่อให้เกิดการถูกเลือกปฏิบัติ หรือกระทั่งถูกเอาเปรียบ โดยผู้ที่ล่วงรู้ข้อมูลเหล่านี้ ในหลากหลายอิริยาบทของการดำรงชีวิตประจำวัน

ปัญหาสำคัญของใบหน้า คือเป็นสิ่งที่อยู่ติดกับตัว ไม่สามารถปิดบังหรือหลบซ่อนได้ โดยไม่มีผลกระทบกับด้านอื่นของการใช้ชีวิต เพราะหากสวมหมวกกันน็อค หรืออำพรางใบหน้าของตนอยู่ตลอดเวลา ก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปรกติได้

แต่สำหรับผู้คนบางกลุ่ม เทคโนโลยีนี้อาจเป็นเรื่องที่ดี เพราะเมื่อรู้หน้าแล้วรู้ใจ โลกใบนี้คงจะมีแต่ความจริงใจและเปิดเผยซึ่งกันและกัน

Published in Krungthepturakij on September 12, 2017