แกะรหัส WikiLeaks: ท้ารัฐบาลด้วยประกันชีวิต

สัปดาห์ที่ผ่านมา WikiLeaks ได้เผยแพร่ไฟล์ WikiLeaks Insurance 20130815 ที่มีขนาด 349 GB ซึ่งเป็นไฟล์ที่กุมความลับอันหน้าสะพรึงกลัว ของรัฐบาลในหลายประเทศ และยังมีความลับอีกมากมาย ที่ยังไม่เคยถูกเปิดเผยผ่านเว็บไซต์ของ WikiLeaks ไฟล์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ด้วยเทคโนโลยีบิททอร์เรนท์และสามารถดาว์นโหลดได้โดยผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากทุกมุมโลก ทั้งนี้ WikiLeaks ได้เข้ารหัสไฟล์ดังกล่าวด้วยเทคโนโลยี AES-256 โดยรหัสจะถูกเผยแพร่เมื่อเหตุการณ์ที่เลวร้าย ได้เกิดขึ้นกับ WikiLeaks หรือกลุ่มผู้ก่อตั้ง ซึ่งเป็นพรรคพวกของ Julian Assange เมื่อนั้นไฟล์ดังกล่าวจะสามารถถูกถอดรหัสได้ และความลับทั้งหมดจะถูกเปิดเผย WikiLeaks Insurance 20130815 จึงเปรียบเสมือนเป็นประกันชีวิตสำหรับ WikiLeaks และพรรคพวกของ Julian Assange ซึ่งเป็นการตักเตือนรัฐบาลต่างๆ มิให้มาดำเนินการอันร้ายกาจกับพวกเขา

หลายเดือนที่ผ่านมา ได้มีข่าวคราวของการเข้าถึงความลับของประชาชน โดยเริ่มต้นจากโครงการปริซึม ที่อ้างโดย Edward Snowden ผู้ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ในรัสเซีย ว่าเป็นโครงการของรัฐบาลสหรัฐ ที่อาศัยความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Google, Facebook, Microsoft, Apple, Yahoo ฯลฯ ในการเข้าถึงความลับของประชาชน โดยผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 50% ของทั้งโลก สามารถถูกดักฟังได้โดยรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทข้ามชาติ ที่มีการให้บริการข้ามพรมแดน และอยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาลของประเทศต่างๆ

Read More

ความลับของรัฐบาล vs ความลับของประชาชน

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการนำเสนอข่าวคราวของ "จอมแฉ" เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ที่กำลังหลบหนีอยู่ภายในสนามบินของรัสเซีย และกำลังพยายามที่จะขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศต่างๆ เรื่องราวของสโนว์เดน เป็นเรื่องที่น่าสนใจ สำหรับคนไทยหลายๆ คน และได้ถูกเปรียบเปรยกับตัวละครของ ทอม แฮงค์ ในภาพยนตร์เรื่อง เดอะเทอร์มินอล ที่ได้อาศัยอยู่ภายในสนามบินของ นิวยอร์ค เป็นเวลาหลายเดือน เป็นที่น่าเสียดาย ที่เรื่องราวของสโนว์เดน กลับได้รับความสนใจ แต่เพียงการที่เขากำลังหลบหนีอยู่ภายในสนามบิน แต่เรื่องราวที่แท้จริง ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงต้องหลบหนี นอกเหนือจากสาเหตุที่ว่า เขาได้เปิดโปงความลับอะไรบางอย่างของรัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่ได้รับความสนใจเลย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่ไกลตัว สำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน

"จอมแฉ" เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ได้แฉความลับของรัฐบาลสหรัฐ ว่ามีโครงการปริซึม สำหรับดักฟังความลับของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ดังได้กล่าวถึงในบทความก่อนหน้านี้ สโนว์เดน ได้พาดพิงถึงบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ที่อาจให้ความร่วมมือกับโครงการปริซึม ในการดักฟังความลับของประชาชน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค บริษัทเหล่านี้ได้ออกมาเปิดเผยถึงจำนวนครั้งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขอข้อมูลที่เป็นความลับของผู้ใช้งาน ในรอบ 6 เดือน ที่ผ่านมา โดย Facebook เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ขอข้อมูลที่เป็นความลับของผู้ใช้งาน 19,000 ราย ในขณะที่ Microsoft เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ขอข้อมูลความลับของผู้ใช้งาน 32,000 ราย และ Apple เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ขอข้อมูลความลับของผู้ใช้งาน 10,000 ราย ล่าสุด Yahoo ได้เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ขอข้อมูลความลับของผู้ใช้งาน 13,000 ครั้ง

Read More

การล่วงรู้ความลับส่วนบุคคลในโลกอินเทอร์เน็ต

เมื่อต้นเดือนนี้ ได้มีเหตุการณ์อื้อฉาว (Scandal) ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความลับส่วนบุคคลในโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อได้มีการเปิดโปงโครงการ PRISM ของรัฐบาลสหรัฐ โดยอ้างว่าเป็นโครงการเพื่อการดักฟัง ดักอ่าน สืบค้น และทำ Analytics กับข้อมูลที่อาจเป็นความลับส่วนบุคคลของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต และมีการพาดพิงถึงบริษัทชั้นนำในโลกอินเทอร์เน็ต เช่น Microsoft , Yahoo!, Google, Facebook, YouTube, Apple ฯลฯ ที่อาจให้ความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐ ผู้ที่เปิดโปงโครงการ PRISM ซึ่งเคยเป็นสมาชิกของหน่วยสืบราชการลับ (CIA) และในขณะนี้ได้ถูกแจ้งจับในข้อหาเปิดเผยความลับของราชการ ยังได้อ้างอิงว่า โครงการ PRISM จะทำให้รัฐบาลสหรัฐสามารถดักฟัง ดังอ่าน สืบค้น และทำ Analytics กับการใช้โทรศัพท์ ส่งอีเมล์ ส่ง SMS โพสข้อความต่างๆ สถานที่ของผู้ใช้งาน (Location) ฯลฯ ผ่านบริษัทชั้นนำที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ยิ่งไปกว่านั้น ความลับที่รัฐบาลสหรัฐสามารถล่วงรู้ได้ กลับมิใช่เพียงความลับของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เป็นชาวอเมริกันเท่านั้น แต่กลับครอบคลุมถึงความลับของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 50% ของโลก ซึ่งอาจรวมถึงผู้ใช้งานในประเทศไทยด้วย เพราะเป็นการใช้งานผ่านบริษัทชั้นนำเหล่านี้ ที่เป็นบริษัทข้ามชาติ (Multinational Corporation) และมีการให้บริการที่คล้ายกับการผูกขาดในระดับโลก

เรื่องอื้อฉาวของโครงการ PRISM ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดความหวาดกลัวของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต จนกระทั่งบริษัทชั้นนำที่ถูกพาดพิงต้องออกมาชี้แจงอย่างมีข้อกังขา แต่ยังทำให้เกิดการถกเถียงในวงกว้าง ถึงความเหมาะสมของรัฐบาลสหรัฐในการดักฟัง ดักอ่าน สืบค้น และทำ Analytics กับข้อมูลที่อาจเป็นความลับส่วนบุคคล และความเหมาะสมของบริษัทชั้นนำที่อาจให้ความร่วมมือกับรัฐบาล

Read More